เลือกประกอบธุรกิจแบบไหนดี “บุคคลธรรมดา VS นิติบุคคล”
ผู้ประกอบการหลายท่าน เมื่อดำเนินธุรกิจในรูปแบบบุคคลธรรมดามาได้สักระยะหนึ่ง ธุรกิจเติบโตขึ้น มักจะประสบปัญหาในการตัดสินใจ ว่าจะยังคงดำเนินธุรกิจในรูปแบบ “บุคคลธรรมดา” ต่อไป หรือจะเลือกจดเป็น “นิติบุคคล” ดี จะต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง แอดมินขอสรุปมาให้เพื่อประกอบการตัดสินใจ ค่ะ
.การประกอบธุรกิจรูปแบบบุคคลธรรมดา
เป็นการประกอบธุรกิจแบบเจ้าของคนเดียวเป็นการลงทุนคนเดียว
ข้อดี
- จัดตั้งง่าย บริการงานคล่องตัว ตัดสินใจเองเพียงคนเดียว
- ใช้เงินลงทุนน้อย ได้รับผลกำไรเพียงคนเดียว
- มีข้อกฎหมายในการควบคุมน้อย
- มีค่าใช้จ่ายในการบริการกิจการน้อย
- เลิกกิจการได้ง่าย
ข้อเสีย
- มีความเสี่ยงสูง เจ้าของต้องรับภาระในหนี้สินของกิจการไว้ทั้งหมด
- ความน่าเชื่อถือจะน้อย ขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินได้ยากกว่า
- เสียภาษีตามอัตราก้าวหน้า ซึ่งมีอัตราสูงสุดถึง 35%
- แม้กิจการขาดทุนก็ยังคงต้องเสียภาษี
- กรณีขาดสภาพคล่อง ไม่สามารถระดมเงินทุนได้ ต้องใช้ทุนจากเจ้าของคนเดียว
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
บุคคลธรรมดา ตามกฎหมายกำหนดให้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีปีละ 2 ครั้ง คือ
- ภาษีครึ่งปี โดยรวมรายได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน ยื่นแบบแสดงรายการภาษีภายใน 30 กันยายน ของทุกปี โดยใช้แบบภาษี ภงด.94
- ภาษีประจำปี โดยรวมรายได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม ยื่นแบบแสดงรายการภาษีภายใน 31 มีนาคม ของปีถัดไป โดยใช้แบบภาษี ภงด.90
. วิธีคำนวณภาษี
วิธีที่ 1 ภาษีที่ต้องชำระ = รายได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน x อัตราภาษี
หากรายได้เกิน 120,000 ต่อปี ต้องคำนวณภาษีวิธีที่ 2 เพื่อเปรียบเทียบกับวิธีที่ 1
วิธีที่ 2 ภาษีที่ต้องชำระ = รายได้ x 0.5% ถ้าน้อยกว่า 5,000 ให้เสียภาษีจากวิธีที่ 1
ถ้ามากกว่า 5,000 บาท ให้เปรียบเทียบกับวิธีที่ 1 ให้เสียภาษีจากจำนวนที่มากกว่า
. การหักค่าใช้จ่าย สามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายได้ 2 วิธี
วิธีที่ 1 หักเหมาร้อยละ 60 (ไม่ต้องเก็บเอกสารรายจ่าย)
วิธีที่ 2 หักตามจริง (ต้องเก็บเอกสารเพื่อพิสูจน์ต่อเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร)
.
ภาษีมูลค่าเพิ่ม
บุคคลธรรมดาที่ประกอบธุรกิจที่ไม่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม หากมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีรายได้เกิน
.
การประกอบธุรกิจรูปแบบนิติบุคคล
เป็นการประกอบธุรกิจแบบร่วมลงทุน ไม่ว่าจะเป็นในรูปบริษัทจำกัด หรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด จะแตกต่างกันชัดเจนในเรื่องของผู้ร่วมลงทุน คือบริษัทจะมีผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่า 3 คน ส่วนห้างหุ้นส่วนจำกัด มีผู้ร่วมลงทุนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ส่วนเรื่องภาระหน้าที่ในการจัดทำบัญชีและภาษีก็ไม่แตกต่างกันมากนัก
ข้อดี
- การบริหารงานแบบมืออาชีพ อย่างเป็นระบบ
- มีความน่าเชื่อถือ สามารถขอสินเชื่อสถาบันการเงินได้ง่าย
- อัตราภาษีเงินได้จะต่ำกว่าอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ข้อเสีย
- มีขั้นตอนการจัดตั้งยากกว่าบุคคลธรรมดา
- การตัดสินใจอาจใช้เวลานาน เพราะต้องผ่านที่ประชุม
- การบริหารงานในรูปแบบคณะกรรมการ อาจไม่คล่องตัวในบางสถานการณ์
- ค่าใช้จ่ายในการบริหารงานสูง
- ต้องจัดให้มีผู้ทำบัญชี และ ผู้สอบบัญชีรับรองงบการเงิน
.
ภาษีเงินได้นิติบุคคล
คำนวณภาษีจากกำไรสุทธิ โดยต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีปีละ 2 ครั้ง
- ภงด.51 คำนวรณภาษีจากประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี ยื่นภายใน 2 เดือน นับแต่วันสิ้น 6 เดือนแรก
- ภงด.50 คำนวณภาษีจากกำไรสุทธิประจำปี ยื่นแบบภายใน 150 วัน นับแต่วันสิ้นรอบบัญชี
วิธีคำนวณภาษี
ภาษีที่ต้องชำระ = กำไรสุทธิ x อัตราภาษี (สูงสุดไม่เกิน 20%)
การหักค่าใช้จ่าย หักค่าใช้จ่ายตามจริงเท่านั้น ต้องมีเอกสารประกอบการทำบัญชี
.
ภาษีมูลค่าเพิ่ม
นิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจที่ไม่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม หากมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีรายได้เกิน
. ปัจจัยในเลือกรูปแบบธุรกิจ
ในการเลือกรูปแบบธุรกิจ นอกจากข้อดี ข้อด้อยของรูปแบบธุรกิจข้างต้นแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ผู้ประกอบการควรพิจารณาประกอบด้วย ดังนี้
- กรณีมีรายได้จำนวนมาก อาจทำให้เสียภาษีมาก ควรคำนวณภาษีเปรียบเทียบทั้ง 2 รูปแบบ
- กลุ่มคู่ค้าเป็นใคร หากส่วนใหญ่เป็นนิติบุคคลก็ควรเลือกจดเป็นนิติบุคคล เพราะคู่ค้าย่อมต้องการเอกสารที่สมบูรณ์แบบ
- หากมีผู้ร่วมลงทุนด้วย ควรเลือกจดเป็นนิติบุคคล เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เช่นการบริหารงาน การแบ่งผลกำไร
- หากธุรกิจมีแนวโน้มเติบโตและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ควรจดนิติบุคคล เพื่อใช้ประโยชน์จากการขอสินเชื่อในอนาคต
- ถ้าไม่มีเอกสารประกอบการจ่าย ยังไม่ควรจดนิติบุคคล เพราะบุคคลธรรมดาสามารถหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้
- หากมีเงินลงทุนเงินทุนเริ่มต้นไม่มาก และไม่มีผู้มาร่วมบริหารกิจการ การเลือกรูปแบบ “บุคคลธรรมดา” อาจเป็นรูปแบบที่สะดวกกว่า เพราะมีค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนต่ำกว่านิติบุคคล และไม่มีข้อกำหนดให้ส่งรายงานบัญชีที่มีผู้ตรวจสอบบัญชีรับรอง จึงมีภาระค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการต่ำ
.
ข้อสงสัยที่ว่า หากเลือกจดเป็นนิติบุคคลแล้ว ควรจะจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไปด้วยเลยจะดีหรือไม่ เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการควรพิจารณาให้รอบคอบ เพราะเพื่อจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว จะมีภาระหน้าที่เกิดขึ้น เรื่องการนำส่งภาษีและการยื่นแบบแสดงรายการภาษีทุก ๆ เดือน แม้จะไม่มีรายการค้าเกิดขึ้นก็ตาม ปัจจัยส่วนหนึ่งในการพิจารณาที่ควรจดภาษีมูลค่าเพิ่มไปด้วยเลย คือ
- ประเมินรายได้ของกิจการ หากธุรกิจจะมีรายได้เกิน 1.8 ล้าน ในเวลาอันใกล้ ควรจด VAT เลย
- บิลรายจ่ายของกิจการ ในกรณีเริ่มประกอบกิจการจะมีใบกำกับภาษีซื้อจำนวนมาก ควรจด VAT เลย เนื่องจากจะได้ใช้สิทธิเครดิตภาษีซื้อไปใช้ในอนาคตได้
- ประเมินคู่ค้าของกิจการ หากคู่ค้าส่วนใหญ่เป็นนิติบุคคล ควรจด VAT เลย เพราะคู่ค้าย่อมต้องการใบกำกับภาษีไปใช้ประโยชน์ทางภาษีเช่นกัน
. เป็นอย่างไรกันบ้างคะ พอได้แนวทางในการตัดสินใจกันพอสมควรแล้วนะคะ ตัดสินใจเลือกรูปแบบธุรกิจให้เหมาะสมกับกิจการของตนเอง เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายและประหยัดภาษีกันนะคะ