ทำความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายภาษี e-Service
จะเริ่มมีผลบังคับใช้วันที่ 1 กันยายน 2564 เป็นต้นไป
กฎหมายภาษี e-Service คืออะไร ขออธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ดังนี้
ในปี 2563 ประชาชนคนไทย โดยเฉพาะอายุระหว่าง 16-64 ปี มีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตกันมากขึ้น มากกว่า 50% ดูวิดีโอ ฟังเพลง ฟังวิทยุออนไลน์ เล่นเกมส์ เป็นผลให้การใช้บริการออนไลน์เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดค่าบริการ ค่าโฆษณา จากการให้บริการเหล่านี้เป็นจำนวนมาก
ปัจจุบันผู้ประกอบการต่างประเทศ เช่น facebook Google Line Netflix TikTok Youtube และอื่น ๆ ที่ให้บริการผ่านอินเทอร์เน็ต ที่มีรายได้จากคนไทย แต่กรมสรรพากรจะเรียกเก็บภาษีจากผู้ประกอบการเหล่านี้ได้เฉพาะเงินได้ตามมาตรา 40(2) – 40(6) เท่านั้น จากการที่บริษัทในประเทศไทยมีการจ่ายเงินได้เหล่านี้ไปให้บริษัทต่างประเทศ และมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย 15% เพื่อนำส่งกรมสรรพากรเท่านั้น แต่หากเป็นประเทศที่มีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศไทยก็จะไม่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ซึ่งถือว่าทางกรมสรรพากรจะเก็บภาษีจากบริษัทต่างประเทศที่มีรายได้จากประเทศไทยกลุ่มนี้ได้น้อยมาก
ส่วนรายได้จากให้บริการอิเล็คทรอนิคส์ เช่น การให้บริการดาวน์โหลด เกมส์ เพลง ภาพยนต์ สติ๊กเกอร์ ถือเป็นเงินได้จากการพาณิชย์ มาตรา 40(8) เป็นเงินได้ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งหากเป็นบริษัทในประเทศไทยให้บริการเหล่านี้หากมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่หากเป็นบริษัทของต่างประเทศยังไม่มีกฎหมายรองรับ เช่น ผู้ประกอบการไทยให้บริการโฆษณา 100 บาท เรียกเก็บเงิน 107 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม7 บาท) แต่ผู้ประกอบการต่างประเทศให้บริการเหมือนกันแต่เรียรกเก็บค่าบริการเพียง 100 บาทเพราะไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ทำให้เกิดความเลื่อมล้ำระหว่างผู้ประกอบการไทย กับ ผู้ประกอบการต่างประเทศ และมีการแข่งกันด้านราคากันเกิดขึ้น จึงได้มีการออกกฎหมาย e-Service เพื่อเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากบริษัทต่างประเทศกลุ่มนี้นี่เอง
. หลักการของกฎหมาย e-Service คือการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ประกอบการต่างประเทศที่ให้บริการอิเล็คทรอนิคส์การกับคนไทย เช่น facebook Google Line Netflix TikTok และอื่น ๆ ที่ให้บริการผ่านอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการดาวน์โหลด เกมส์ เพลง ภาพยนต์ สติ๊กเกอร์ หากมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ให้กับกรมสรรพากร
.
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจน เช่น เมื่อ Facebook เรียกเก็บค่าโฆษณาจากผู้ประกอบการในประเทศไทย โดยจะแบ่งผู้ประกอบการได้ 2 กลุ่มคือ
- ผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม กลุ่มนี้เมื่อมีการจ่ายค่าโฆษณาให้ Facebook จะต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ด้วย ภ.พ.36 โดยที่ผู้ประกอบการจะสามารถนำภาษีซื้อที่เสียไป มาหักออกจากภาษีขายได้ ซึ่งหลังกฎหมายบังคับใช้ผู้ประกอบการกลุ่มนี้ก็ยังคงปฏิบัติเช่นเดิม ไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ
.
- กลุ่มผู้ประกอบการที่ไม่ได้อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือกลุ่มบุคคลทั่วไป ซึ่งบุคคลธรรมดาเหล่านี้จะไม่ทราบว่าตามกฎหมายต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ด้วย ภ.พ.36 เช่นเดียวกับผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม จึงไม่ได้มีการนำส่ง ทำให้รัฐสูญเสียรายได้จากส่วนนี้ไปมาก ซึ่งต่อไปหาก Facebook เรียกเก็บค่าโฆษณารจากคนกลุ่มนี้ Facebook จะต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ให้กรมสรรพากร โดยไม่ต้องออกใบกำกับภาษี และไม่สามารถถือเป็นภาษีซื้อได้
.ผลกระทบของกฎหมายภาษี e-Service
- ผู้ประกอบการต่างประเทศต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับกรมสรรพากร
- ผู้ปริโภคอาจถูกผลักภาระภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ได้ (คือใช้บริการ 100 อาจถูกบริษัทต่างประเทศเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 7 บาท รวมเป็น 107 บาทนั่นเอง) เนื่องจากภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีทางอ้อม ที่ผู้ประกอบการสามารถผลักภาระให้กับผู้บริโภคได้
โดยสรุปคือ เมื่อกฎหมาย e-Service มีผลบังคับใช้เริ่ม 1 กันยายน 64 เป็นต้นไป ผู้ใช้บริการที่ไม่ได้อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มจะถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่ม 7% ส่วนผู้ใช้บริการที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มจะไม่ได้รับผลกระทบ โดยผู้ใช้บริการกลุ่มนี้ยังคงต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มเอง เหมือนเช่นเดิม